วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
งานกลุ่ม 18 คน word&powerpoint ไฟล์แนบ
ปัญหาพรมแดนประเทศไทยกับ2 Powerpoint
โครงการเขื่อนกันตลิ่ง
บทคัดย่อ(Abstract)
จากข้อมูลที่ศึกษาที่จังหวัดหนองคาย พบปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในแต่ละปีพื้นที่ริมตลิ่งตามแนวลำน้ำโขงถูกกัดเซาะพังทลายลง เกิดจากสาเหตุ ดินที่อยู่ชั้นบนเป็นดิน CL มีการจับตัวกันแน่นปานกลางจึงโดนกระแสน้ำกัดเซาะจนถล่มลงมา จึงได้คิดโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง (ตามแนวลำน้ำโขง) เพื่อป้องกันการกัดเซาะของน้ำโดยสร้างเขื่อนตามแนวริมตลิ่ง หน้าวิทยาลัยการต่อเรือหนองคาย ต.- อ.เมือง จ.หนองคาย โดยได้ทำการศึกษาข้อมูลของกรมโยธาธิการเป็นข้อมูลหลุมเจาะที่ BH-1.1 ความสูงของดินที่ 1.5-1.95 ม. มีลักษณะดินเป็นดินเหนียว ที่ระยะ 3-18.45 ม. มีลักษณะดินฝุ่นมีความละเอียดกว่า ข้อมูลที่หลุมเจาะBH-2.1 ความสูงของดินที่ 1.5-3.45 ม.มีลักษณะดินเป็นดินเหนียว ที่ระดับ 4.5-6.5 ม.มีลักษณะดินเป็นดินฝุ่น ที่ระดับ 7.5-13.6มีลักษะดินเป็นดินทรายจับตัวกันแน่น เพื่อดูข้อมูลของดินและนำมาอ้างอิงในการทำงาน
บทนำ(Introduction)
หนองคายเป็นจังหวัดที่ติดลุ่มแม่น้ำโขงที่ดินบริเวณนี้มีความสำคัญในการแบ่งเขตชายแดนเพื่อไม่ให้เสียพื้นที่จากการกัดเซาะตลิ่งของแม่น้ำโขง โดยดินในบริเวณนี้มีลักษณะเป็นดินเหนียวกับดินฝุ่นเมื่อโดนกระแสน้ำกัดเซาะไปเรื่อยๆทำให้ดินเกิดการสไลด์พังลงมาเป็นเหตุให้ที่บริเวณนี้เสียหาย เนื่องจากข้อมูลหลุมเจาะมีเพียง 2 หลุมจึงทำให้มีรายละเอียดค่อนข้างน้อย
วิธีการ(Methodology)
ได้ทำการศึกษาข้อมูลหลุมเจาะจากกรมโยธาธิการ ในบริเวณหน้าวิทยาลัยการต่อเรือหนองคาย โดยมีข้อมูลหลุมเจาะ 2 หลุม ในบริเวณใกล้เคียงกัน เพื่อศึกษาลักษณะชั้นดินว่ามีสภาพเป็นอย่างไร แล้วนำมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการพังทลายของดินตามแนวริมตลิ่ง โดยสรุปได้ว่า น่าจะเกิดจากดินชั้นดินแรกๆนั้นเป็นดินเหนียวกับดินฝุ่น เมื่อมีเกิดการกัดเซาะของกระแสน้ำจากแม่น้ำโขงเรื่อยๆ ดินจึงเกิดการสไลด์ตัวของดินพังทลายลงมา และได้นำข้อมูลหลุมเจาะทั้ง 2 หลุมนั้นมาวิเคราะห์ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน จากนั้นก้ทำการสรุปผลการศึกษาการพังทลายของดิน
บริเวณที่มีการสร้างเขื่อนกันตลิ่งตามแนวริมแม่น้ำโขง
รูปที่ 1.1 แนวสร้างเขื่อนกันตลิ่ง
ที่มา http://www.googleearth.com/
รูปที่ 2.3 ข้อมูลหลุมเจาะ BH-1.1
ที่มา http://www.dpt.go.th/soil/showimg.asp?img=./data/4301000201s1.gif
รูปที่ 2.4 ข้อมูลหลุมเจาะ BH-2.1
ที่มา http://www.dpt.go.th/soil/showimg.asp?img=./data/4301000202b1.gif
รูปที่ 2.5 ข้อมูลหลุมเจาะ BH-2.1
ดินที่ได้ทำการสำรวจนั้น ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยตรวจสอบข้อมูลหลุมเจาะ หน้าวิทยาลัยการต่อเรือหนองคาย ต.- อ.เมือง จ.หนองคาย ตรวจสอบดินละเอียดโดยนำค่า PI , LL % ไป plotในกราฟ Plasticity Chart พบว่า ถูกต้องตามที่ได้ให้ข้อมูล ตรวจสอบดินหยาบโดยพิจารณา % ที่ผ่านตะแกรงเบอร์ 200 พบว่าผ่านไม่ถึง 50 % ทำให้อยู่ใน Coare grained soils จากนั้น grain size (% finer) ที่ผ่านตะแกรงเบอร์ 4 ทุกตัวพบว่า ผ่านเกินกว่า 50% ทำให้ทราบว่าเป็น sand ทั้งหมด พิจารณา % finer ที่ผ่าน เบอร์ 200 น้อยกว่า 5% ไม่พบข้อมูล มากกว่า 12% จะเป็น SM ถ้าอยู่ระหว่าง 5-12 % จะเป็น SW-SM จากการตรวจสอบพบว่าผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือ
Summary
จากการศึกษาข้อมูลหลุมเจาะ ทำให้ทราบถึงปัญหาของแนวตลิ่งริมแม่น้ำโขง และเพื่อป้องกันจึงได้มีการสร้างเขื่อนขึ้น เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ
แหล่งอ้างอิง(Reference)
http://www.dpt.go.th/soil/ กรมโยธาธิการและผังเมือง
http://www.googleearth.com/
http://www.nkcity.com/index.php?mod=article&cat=nongkhaidata&article=242
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Assignment III เปรียบเทียบการจำแนกดินโดยวิธี Unified Soil Classification กับ wenthworth’s Scale
ดินเป็นวัสดุที่ประกอบขึ้นด้วยสิ่งต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น กรวด, ทราย, ดินเหนียว, อินทรียสาร |
เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องกับดินอยู่หลายสาขาด้วยกัน การจำแนกประเภทดินจึงแตกต่างกันออกไป
แล้วแต่วัตถุประสงค์ในการใช้งานในแต่ละสาขา เช่น ทางด้านเกษตรศาสตร์ จะจำแนกดินตามความอุดมสมบูรณ์ของธาตุสารที่พืชจะนำไปใช้ประโยชน์ ทางด้านธรณีวิทยาอาศัยลักษณะหินต้นกำเนิด และการกัดกร่อนผุพัง เป็นปัจจัยในการจำแนก สำหรับทางวิศวกรรมโยธา พิจารณาคุณสมบัติทางฟิสิกส์และกลศาสตร์ของดินเป็นหลัก เช่น ขนาดของเม็ดดิน, แรงยึดเกาะของมวลดิน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ใช้สอยทางวิศวกรรมแต่ละหมวดหมู่ของดิน ที่จัดเข้าไว้ จะมีอักษรย่อเฉพาะซึ่งจะเป็นที่เข้าใจได้โดยง่ายในหมู่วิศวกร หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง |
ในวงการวิศวกรรมโยธา การจำแนกดินมีหลายระบบ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประโยชน์ |
ใช้สอย เช่น งานด้านถนนใช้ระบบ AASHO Classification ซึ่งจัดแบ่งดินตามความเหมาะสมในการใช้เป็นวัสดุก่อสร้างถนน‚ งานสนามบินใช้ระบบของ FAA Classification และระบบ Unified Soil Classification ซึ่งใช้กับงานวิศวกรรมทั่ว ๆ ไป และนิยมแพร่หลายกว่าระบบอื่น ๆ |
ในบทนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดการจำแนกดินเพียง 2 ระบบ คือ |
1. ระบบ Unified Soil Classification |
2. ระบบ AASHO Classification |
ทั้ง 2 ระบบ อาศัยข้อมูลพื้นฐานในการจำแนกคล้าย ๆ กัน คือ การกระจายและขนาดของเม็ดดิน, |
วิธี Unified Soil Classification
ในทางอุดมคติเท่านั้นในการทำ piping stress analysis underground pipeline นั้นจะต้องได้คุณสมบัติของดินจาก geotechnical engineer เพื่อที่จะสามารถใส่ค่า K1, P1, & K2 ลงใน piping model (ค่าเหล่านี้ก็ไม่ได้แสดงใน soil report ) ค่าที่แสดงใน laboratory tests และ รายงานในภาคสนามจะมีค่าดังนี้ครับ
คุณสมบัติเหล่านี้สามารถนำไปสร้างความสัมพันธ์ restraint force-displacement สำหรับดินรอบๆท่อที่ฝังใต้ดิน เป็นการที่ดีที่ piping designer มีความเข้าใจคุณสมบัติของดิน และสามารถประเมิณหาค่าที่ต้องการได้ด้วยตนเอง ดังนั้นอย่างแรกเลย piping designer จะต้องสามารถจําแนกประเภทของดินทางด้านวิศวกรรม โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ตามมาตรฐาน Unified Soil Classification System ASTM D-2487 ซึ่งนิยมใช้กับงานฐานรากทั่วไป และ underground pipeline
การจําแนกดินตามมาตรฐานนี้ จะทําการจําแนก ดินเสียก่อนว่าเป็นดินชนิดเม็ดหยาบ หรือดินชนิดเม็ดโดยอาศัยข้อมูลจากทดสอบ Sieve Analysis โดยดูว่ามีดินค้างอยู่ บนตะแกรงมาตรฐานเบอร์ 200 อยู่เท่าไร
- ถ้ามีดินค้างอยู่บนตะแกรงมาตรฐานเบอร์ 200 เกิน 50 % by weight ถือว่าเป็นดินจําพวกเม็ดหยาบ Coarse Grained Soils ดินจําพวกนี้ได้แก่ Gravelly Soils , Sandy Soils
- ถ้ามีดินค้างอยู่บนตะแกรงมาตรฐานเบอร์ 200 น้อยกว่า 50 % by weight ถือว่าเป็นดินจําพวกเม็ดละเอียด Fine Grained Soils ดินจําพวกนี้ได้แก่ ตะกอนทราย (Silt ) หรือดินเหนียว(Clay )
เราสามารถทราบ ชนิดของดินโดยดูจาก อักษรตัวหน้าของดิน เช่น
ส่วนอักษรที่สอง จะบอกลักษณะของดิน ซึ่งหาได้จากการกระจายของเม็ดดินและการทดสอบหาค่าความข้นเหลวของเม็ดดิน( Atterberg’s Limit ) เช่น
การทดสอบ Grain Size Analysis
เป็นการทดสอบหาขนาดเม็ดของดินและการกระจายขนาดของเม็ดดิน (Grain Size Distribution) เพื่อประโยชน์ในการจําแนกดิน (Soil Classification) และเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของดิน การทดสอบ สามารถแบ่งเป็น 2 วิธี ขึ้นอยู่กับขนาดเม็ดดิน ได้แก่
1 สําหรับดินที่มีเม็ดดินหยาบ การทดสอบทําโดยวิธีร่อนด้วยตะแกรง (Sieve Analaysis หรือMechanical analysis) ทําโดยนําดินที่ต้องการหาขนาดใส่ลงในตะแกรงมาตรฐาน และเขย่า ตะแกรงที่ใช้ร่อนมีหลายขนาด ตั้งแต่เบอร์ 4 (ขนาด 4.75 มม.) ถึง เบอร์ 200 (ขนาด 0.075 มม.) โดยเรียงตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็กสุด เมื่อร่อนและนํามาชั่งก็จะคํานวณหาส่วนที่ค้างหรือผ่านตะแกรงขนาดต่างๆ เป็นเปอร์เซนต์กับ น้ําหนักทั้งหมด
2. สําหรับดินเม็ดละเอียด ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 0.075 มม. เช่น ดินเหนียว (Clay) ดินเหนียวปนตะกอนทราย(Silty Clay) หรือดินตะกอนทราย (Silt) ใช้วิธีตกตะกอน (Hydrometer Analysis) ทําโดยการนําดินมาละลายน้ําแล้วใส่ลงไปในหลอดแก้วให้เม็ดดินหรือตะกอนกระจัด กระจายแขวนตัวลอยอยู่ในน้ำ แล้วใช้ไฮโดรมิเตอร์วัดอัตราการตกตะกอน หรือวัดค่าความถ่วงจําเพาะของเม็ดดินที่แขวนลอยอยู่ในน้ําตามความลึกที่ กําหนด ที่ช่วงเวลาต่างๆ โดยอาศัย Stoke’s Law ที่ว่า ความเร็วของการตกตะกอนจะขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเม็ดดิน ความ หนาแน่นของของเหลว ความหนืดของของเหลวและขนาดของเม็ดดิน กล่าวคือ ดินเม็ดใหญ่จะตกตะกอนเร็วกว่าดินเม็ด เล็ก ดังนั้น เมื่อทราบความเร็วของการตกตะกอนก็สามารถคํานวณหาขนาดของตะกอนได้
การจำแนกโดยระบบ Unified Soil Classification
ใช้อักษรย่อ 2 ตัว ทำให้จดจำง่าย และมีความหมายในตัวเอง เช่น G = Gravel (กรวด)‚ |
S = Sand (ทราย)‚ M = Silt (ดินทราย)‚ C = Clay (ดินเหนียว)‚ W = Well Graded (เม็ดคละ)‚ P = Poorly Grade (เม็ดไม่คละ)‚ H = High Liquid Limit (L.L. มีค่าสูง)‚ L = Low Liquid Limit (L.L. มีค่าต่ำ) หรือ O = Organic (ดินมีอินทรียสารปนมาก) ดังแสดงในรูปที่ 1 และตารางที่ 1 |
ขั้นตอนในการจำแนกอาจทำได้ดังนี้ |
1. แบ่งตามลักษณะขนาดเม็ดดิน เป็นพวกเม็ดหยาบได้แก่ กรวด (Gravel) และทราย |
(Sand) และพวกเม็ดละเอียด ได้แก่ ดินเหนียว (Clay) และดินทราย (Silt) |
2. แบ่งย่อยตามลักษณะการกระจายของเม็ดดิน สำหรับพวกเม็ดหยาบเป็นพวกที่เม็ดคละหลาย |
ขนาด (Well Graded) และเม็ดไม่คละ เนื่องจากมีเม็ดขนาดเดียวกันมากหรือขนาดเม็ดขาดช่วง (Poorly Grade) |
3. แบ่งย่อยตามค่า Atterberg’s limits สำหรับพวกเม็ดละเอียด เรียกว่า Plasticity เช่น พวก |
มีค่า L.L. และ P.I สูง เรียกว่า High Liquid Limit เป็นต้น |
เมื่อถึงขั้นสุดท้าย จะมีอักษรย่อแทน 2 ตัว (ในกรณีก้ำกึ่งใช้ 4 ตัว) เช่น CH‚ GW‚ SP หรือ |
GM-GC‚ ML-CL |
การจำแนกโดยระบบ AASHO Classification |
ใช้อักษรย่อจาก A-1 ถึง A-7 โดยที่เรียงลำดับจากความเหมาะสมในการใช้เป็นวัสดุก่อสร้างทาง |
คือ A-1 ถึง A-3 เหมาะสมมาก ส่วน A-4 ถึง A-7 พอใช้ถึงใช้ไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีการแบ่งย่อยลงไปอีกสำหรับกรุ๊ป A-1‚ A-2‚ A-7 เช่น A-1-a‚ A-1-b‚ A-2-4‚ A-2-7‚ A-7-5 เป็นต้น ดังแสดงในตารางที่ 2 |
ขั้นตอนในการจำแนกอาจทำได้ดังนี้ |
1. แบ่งตามการกระจายของเม็ดดิน |
2. แบ่งตามค่า Atterberg’s Limits |
3. แบ่งตามค่า Group Index (G.I.) |
เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย จะมีอักษรต่อ 2 หรือ 3 และมีวงเล็บต่อท้ายด้วยค่า Group Index เช่น |
A-1-a(0)‚ A-3(0)‚ A-7-b(12) |
Assignment II การเปรียบเทียบกราฟ uniaxial copressive strength กับ porosity
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Assignment I ตรวจสอบ Precision (แก้ไขครั้งที่1)
แก้ไข โดยเปลี่ยนจุดอ้างอิงเป็น โรงเรียนบ้านสามแหลม
จากแผนที่ SERIES ลำดับชุด 1501 S
SHEET ระวาง NC 47-10
จังหวัด ระนอง
หาความแม่นยำเทียบระหว่างแผ่นที่กรมแผนที่ทหารกับGoogle earthโดยใช้ โรงเรียนบ้านสามแหลม
เป็นจุดอ้างอิง โดยอ่านพิกัดจาก แผนที่ได้ 9°57'55" เหนือ 98°38'20" ตะวันออก
อ่านพิกัดจาก Google earth ได้ 9°57'58.67"เหนือ 98°36'7.15"ตะวันออก
ค่าที่อ่านได้ มีความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
รายชื่อกลุ่ม
นายกิตติพงษ์ แสงวนิช 51010073
นายณุพันธ์ ชะอุ่ม 51010456
นายณปภัช ชาตรูประชีวิน 51010651
http://geomageit.blogspot.com/
นางสาว จุฬาลักษณ์ ทองแท่ง 51010196
นาย ธนาคม ติวานนท์ 51010557
นาย ปภังกร จูงตระกูลรัตน์ 51010739
http://otycivil.wordpress.com/
นายกีรติ อยู่คง รหัส 51010083
นายเกรียงไกร จันธรรมาพิทักษ์ รหัส 51010092
นายธีรพงษ์ รูปโอ รหัส 51010606
http://cv069.wordpress.com/
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Assignment I ตรวจสอบ Precision
SHEET ระวาง NC 47-10
จังหวัด ระนอง
หาความแม่นยำเทียบระหว่างแผ่นที่กรมแผนที่ทหารกับGoogle earthโดยใช้ บริเวณยอดเขาหินถาก
เป็นจุดอ้างอิง โดยอ่านพิกัดจาก แผนที่ได้ 9° 02'30" เหนือ 98°21'11" ตะวันออก
อ่านพิกัดจาก Google earth ได้ 9° 2'32.89" เหนือ 98°21'11.13" ตะวันออก
ค่าที่อ่านได้ มีความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย